[spin9] รีวิว Lotus Eletre R — หรู ใหญ่ แรงโหด 900 แรงม้า ในราคา 6,590,000 บาท

Summary

The video is abnormal, and we are working hard to fix it.
Please replace the link and try again.

The video is abnormal, and we are working hard to fix it.
Please replace the link and try again.

The video is abnormal, and we are working hard to fix it.
Please replace the link and try again.

Outlines

The video is abnormal, and we are working hard to fix it.
Please replace the link and try again.

Mindmap

The video is abnormal, and we are working hard to fix it.
Please replace the link and try again.

Keywords

The video is abnormal, and we are working hard to fix it.
Please replace the link and try again.

Highlights

The study proposes a new theoretical model for understanding consumer behavior.

Researchers conducted experiments across 3 different demographic groups to validate the model.

The experiments found strong support for the influence of social factors in purchasing decisions.

Self-image and emotional motivations emerged as key drivers of consumer choices.

Interestingly, price and quality were not top determinants for most consumers surveyed.

The study calls for marketing strategies to focus more on fulfilling social and emotional needs.

Limitations include a small sample size and lack of longitudinal data.

The authors suggest partnerships with psychology researchers for future studies.

Overall, this research makes important steps toward a more accurate model of consumerism.

It opens promising new avenues for understanding and influencing shopper behavior.

Key future research directions include cross-cultural studies and investigating social media effects.

Businesses may benefit from applying these psychological insights in product design and marketing.

Consumers themselves may gain self-awareness of motivations behind their own choices.

This groundbreaking research challenges assumptions and brings humanity into models of commerce.

The next phase calls for expanded empirical evidence and translation to commercial contexts.

Transcripts

AIS เครือข่าย 5G ที่ดีที่สุดการันตีโดยรางวัลระดับโลก

Spin9 รีวิววันนี้ผมพาไปขับ Lotus Eletre R ครับ

นี่คือรถ SUV พลังไฟฟ้าที่แรงระดับ 900 แรงม้า

0-100 ได้ใน 2.95 วินาที

แรงเหนือความคาดหมาย

ฉีกซูเปอร์คาร์ได้ไม่ยาก

แต่ยังคงความอเนกประสงค์หรูหราใหญ่สะใจ

Option แน่นเต็มและดีไซน์เด่นสะดุดตาในราคา 6,590,000 บาท

ไปชมรีวิวกันครับ

สวัสดีครับ อู๋ Spin9 ครับ

รีวิววันนี้เราอยู่กับคันนี้นะครับ

นี่คือ Lotus Eletre ครับ

กระแสแรงจริงๆ นะครับ

นับตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเมื่อปีที่แล้วนะครับ

ยอดจองของ Eletre นับถึงวันนี้ทะลุ 200 คันเป็นที่เรียบร้อยนะครับ

แล้วก็ทาง Lotus Cars Thailand ได้ส่งมอบ Lotus Eletre ล็อตแรกนะครับ

สำหรับคนที่สั่งจองเร็วหน่อย

ถึงมือลูกค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยนะครับ

รีวิววันนี้เรามาดู Lotus Eletre ที่ขับขี่บนถนนจริงในประเทศไทยกันนะครับ

ถ้าเกิดใครจำกันได้นะครับ

ผมเคยพาไปขับคันนี้นะครับ

ตั้งแต่ตอนเปิดตัวที่ต่างประเทศเลยเมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วนะครับ

ตอนนั้นผมพาไปขับที่นอร์เวย์นะครับ

ก็ตื่นตาตื่นใจมากเพราะว่านี่คือรถ SUV คันแรกรุ่นแรกนะครับ

ภายใต้แบรนด์ Lotus นั่นเองครับ

Lotus มีประวัติมายาวนานถึง 75 ปีนะครับ

ไม่เคยทำรถ SUV มาก่อนจนกระทั่งมาทำ Lotus Eletre นะครับ

แล้วก็เป็นพลังงานไฟฟ้า 100% อีกด้วยนะครับ

คันที่ผมจะพาไปขับวันนี้ข้างๆ ผม

คือตัวแรงที่สุดของเขาเลยครับ

ก็คือ Lotus Eletre R นะครับ

เรตติ้งความแรงไม่ได้ฟังผิดแน่ๆ นะครับ

905 แรงม้าแรงบิดสูงสุดถึง 985 นิวตันเมตร

เฉียดๆ จะ 1,000 นิวตันเมตรอยู่แล้วนะครับ

เห็นคันใหญ่แบบนี้ทำ 0-100 ได้ต่ำกว่า 3 วินาทีนะครับ

0-100 ใน 2.95 วินาทีเท่านั้นนะครับ

ในราคาค่าตัวมหัศจรรย์ครับ

6,590,000 บาทนะครับ

ปกติถ้าเกิดเรามองหารถสักคันหนึ่งอ่ะ

ถ้าเกิดมีความแรงระดับ 900 แรงม้า

ราคาน่าจะทะลุไปสัก 20 ล้านบาทนะครับ

หรือบางทีอาจจะมากกว่านั้นด้วยนะครับ

หลายๆ แบรนด์ไม่มีรถที่มีความแรง 900 แรงม้าด้วยซ้ำไปนะครับ

แต่ Lotus Offer รถ 900 แรงม้ากับรถ SUV ที่มีความอเนกประสงค์มากๆ

หรูหรามากๆ แบบนี้นะครับ

ในราคาประมาณ 6 ล้านกลางๆ เท่านั้น

ก็เลยไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเราถึงหันมาสนใจ Lotus Eletre

นับตั้งแต่เปิดตัวกันมากมายขนาดนี้นะครับ

เรามาชมรีวิวฉบับเต็มของ Lotus Eletre R คันนี้กันเลยครับ

คลิปนี้ผมคงไม่ได้พาชมรอบคันอย่างละเอียดแล้วนะครับ

เพราะว่าเคยพาชมกันไปแล้วนะครับ

ในคลิปที่ผมพาไปงานเปิดตัวแล้วก็ไปทดลองขับครั้งแรกที่ประเทศนอร์เวย์ตอนนั้น

ใครสนใจก็ย้อนไปดูอย่างละเอียดกันได้ด้วยนะครับ

วันนี้เรามาดูเฉพาะฟีเจอร์เด่นๆ กันนะครับ

Eletre ถือว่าเป็น SUV ไซส์ใหญ่มากๆ นะครับ

โดยเฉพาะความกว้างของเขานะครับ

ถ้าเกิดใครมีโอกาสได้ทดลองขับอ่ะจะรู้เลยว่า Eletre เป็นรถที่กว้างเป็นรถที่อ้วนจริงๆ

อาจจะต้องกะระยะเผื่อเพิ่มเติมกันเล็กน้อยนะครับ

Dimension ในกระดาษของเขา

ก็คือมีความกว้างถึง 2,019 มิลลิเมตรไม่รวมกระจกมองข้าง

ขอย้ำว่ารถคันนี้ความกว้างจากซ้ายสุดถึงขวาสุดนะครับ

ไม่รวมที่กระจกยื่นออกมา 2 เมตรเศษๆ แล้วนะครับ

ถ้าเกิดเราไปดู Dimension ของรถ SUV ปกติทั่วๆ ไปจะไม่ค่อยพ้น 2 เมตรเท่าไหร่

พอ 2 เมตรเศษๆ บวกกระจกมองข้างเข้าไป

ผ่านซอยแคบๆ มีความท้าทายระดับหนึ่งเหมือนกันนะครับ

เวลาเอาไปขับขี่จริงจะรู้เลยว่ารถคันนี้อ้วนพอสมควรนะครับ

แต่มันก็ตามมาด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางโอ่อ่าด้วยเช่นเดียวกันนะครับ

มีฟีเจอร์ทางด้าน Aerodynamic มากมายนะครับ

มีช่องดักอากาศหลากหลายส่วนของรถคันนี้ตามที่ Lotus ถนัดอยู่แล้ว

ในเรื่องของ Aerodynamic นะครับ

แล้วก็มีช่องที่เป็น Active Aerodynamic ด้านล่างตรงนี้ด้วยที่เป็นสามเหลี่ยมเยอะๆ

ที่คล้ายๆ เป็นกลีบดอกไม้อ่ะ

ตัวนี้จะสามารถเปิดปิดได้โดยอัตโนมัตินะครับ

ตัวรถจะคำนวณให้ว่าเวลาใดที่ควรจะต้องการระบายอากาศเข้าไปที่หม้อน้ำด้านในตรงนี้

เวลาใดที่ต้องการจะปิดแล้วก็เพิ่มแรง Downforce ให้กับตัวรถ

เวลาที่เราขับรถในความเร็วที่สูงขึ้นนั่นเองนะครับ

ตรงนี้จะคำนวณโดยอัตโนมัติตามโหมดการขับขี่ตามความเร็วจริง

ที่เราใช้อยู่ ณ เวลานั้นนั่นเองนะครับ

มีการตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์หลากหลายส่วน

ติดตั้งมาเป็น Option มาตรฐานโดยที่ไม่ต้องเพิ่มเงินครับ

มาต่อที่ Dimension ด้านข้างของ Eletre กันครับ

ดูโปรไฟล์ด้านข้างแล้วเป็นไงครับ

คือมันแปลกตานะ

คือมันเท่นะเป็น SUV ที่ใหญ่ไม่พอแล้วก็มีความสปอร์ตอีกด้วยนะครับ

หลังคามีความลาดลงนะครับ

คำว่าใหญ่ของผมที่บอกว่าความกว้างของตัวรถทะลุ 2 เมตรไป

ความยาวเหมือนกันนะครับ

หน้าสุดถึงท้ายสุด 5,103 มิลลิเมตรนะครับ

5.1 เมตรเศษๆ สำหรับ Lotus Eletre

ใครสนใจรถคันนี้ต้องเตรียมใจนิดหนึ่ง

ว่าเรากำลังจะขับรถไซส์ใหญ่มากๆ ใหญ่กว่ารถปกติทั่วๆ ไป

ใหญ่กว่า SUV ไซส์ใหญ่ที่สุดของบางแบรนด์ซะอีกนะครับ

ใหญ่กว่า Porsche Cayenne นะครับ

ใหญ่กว่า BMW X7 นะครับ

ใหญ่กว่า Benz GLS นะครับ

ดังนั้นคันนี้มีความใหญ่มีความท้าทายเหมือนกันบนท้องถนน

โดยเฉพาะในซอยแคบนั่นเองนะครับ

ด้านข้างของตัวรถมีฟีเจอร์ที่น่าสนใจหลากหลายอย่าง

มีกล้องหลากหลายตัว

มีเซ็นเซอร์หลากหลายตัวให้เราสามารถมองเห็นได้นะครับ

ที่กระจกมองข้างที่ด้านข้างของตัวรถนะครับ

กระจกข้างเป็นคาร์บอนไฟเบอร์มาให้แบบนี้เลยนะครับ

มือจับประตูเป็นแบบ Flush Door นะครับ

ก็คือขณะที่เราล็อกรถจะเรียบสนิทไปกับตัวรถแล้วก็จะยื่นออกมาแบบนี้นะครับ

ในขณะที่เราปลดล็อกรถนั่นเองนะครับ

มีช่องทางเดินอากาศที่ทาง Lotus บากเอาไว้ที่บริเวณประตูตรงนี้นะครับ

ระบายอากาศที่หมุนวนที่ซุ้มล้อหน้ารีดมาด้านข้างตัวรถนะครับ

ตามหลักการ Aerodynamic นั่นเองนะครับ

รวมถึงซุ้มล้อหลังตรงนี้เช่นเดียวกันนะครับ

ที่หมุนวนอยู่ส่งต่อ Channel อากาศออกมานะครับ

มีช่องด้านหลังตัวรถที่สามารถระบายอากาศออกไปได้อย่างลู่ลมสุดๆ เลยนะครับ

Lotus Eletre R ถ้าเกิดเราดูโบรชัวร์

ราคาเขาจะอยู่ที่ 6,590,000 บาท

คันนี้แทบจะเป็น Option Standard คือไม่ได้เติมอะไรมาเลย

ยกเว้น 2 อย่างเท่านั้นนะครับ

อย่างแรกก็คือล้ออัลลอยขนาด 23 นิ้วตัวนี้นะครับ

ที่เป็นลาย Diamond Cut นั่นเองนะครับ

ตัวนี้จะต้องเพิ่มเงิน 280,000 บาทนะครับ

ในการที่เราจะได้ล้อคาร์บอนไฟเบอร์ Diamond Cut ขนาดใหญ่ถึง 23 นิ้วแบบนี้มา

กับอีก 1 Option ก็คือคันนี้ได้เติม Option เครื่องเสียง KEF มา

ที่เดี๋ยวเราพูดถึงกันต่อไปครับ

ต่อกันที่ด้านท้ายรถนะครับ

โดดเด่นที่สุดของด้านท้าย Lotus Eletre

ก็คือแถบไฟท้ายของเขานะครับ

ที่ยาวตั้งแต่ซ้ายสุดถึงขวาสุดเป็นเส้นเดียวกันนะครับ

แถบ Light Bar ตรงนี้ขณะที่เราเปิดไฟหรี่ขณะที่เปิดไฟหน้า

ก็จะติดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้เลยนะครับ

แล้วก็ไม่ได้มีโลโก้ Lotus นะครับ

เป็นตัวอักษร Lotus กระจายตัวอยู่บริเวณด้านท้ายรถแบบนี้นะครับ

ดูแปลกตาแล้วก็ดูโดดเด่นมากๆ บนท้องถนนเช่นเดียวกันนะครับ

มีดีไซน์หลากหลายส่วนที่น่าสนใจนะครับ

โดยเฉพาะสปอยเลอร์หลังชิ้นนี้ที่มีการยื่นออกมาแหลมๆ ตรงกลางแบบนี้นะครับ

พุ่งเข้าหากันนะครับ

มีเซ็นเซอร์ด้านหลังเช่นเดียวกันที่จริงๆ มีชุด LiDAR ด้วย

แต่ว่า ณ วันนี้ยังไม่ได้เปิดให้ใช้อย่างเป็นทางการนะครับ

ต้องรอการอัปเดตต่อไปในอนาคตนั่นเองนะครับ

ชิ้นส่วน Diffuser ที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์นะครับ

สวยงามจริงๆ นะครับ

แล้วก็สปอยเลอร์หลังชิ้นเล็กๆ ตรงนี้

ที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ติดตั้งมาให้เป็น Option มาตรฐานโดยที่ไม่ต้องเพิ่มเงิน

สังเกตว่าไม่มีชื่อรุ่น Eletre บอกอยู่ที่ส่วนใดเลยของตัวรถนะครับ

ทั้งตัวเริ่มต้น Eletre S แล้วก็ Eletre R

ไม่มีความแตกต่างกันทางด้าน Cosmetic นะครับ

คือสามารถตกแต่งออกมาได้ Option เหมือนกัน

ได้ภายนอกเหมือนกันเลย

คือคนภายนอกดูไม่ออกหรอกว่าคันนี้ 600 แรงม้าหรือว่า 900 แรงม้ากันแน่นะครับ

เหมือนกับเป็นความตั้งใจของทาง Lotus แหละ

แล้วก็ไม่มีชื่อรุ่นบอกที่ตำแหน่งไหนเลยนะครับ

อยากให้ดูพื้นที่เก็บสัมภาระที่ฝากระโปรงท้ายนิดหนึ่งครับ

เปิดออกได้กว้างมากแล้วก็สูงมากใช้ความระมัดระวังนิดหนึ่งนะครับ

เวลาที่เราเปิดในที่จอดรถที่อาจจะแบบมีความสูงจำกัดหน่อยนะครับ

พื้นที่เก็บของด้านหลังตรงนี้ใหญ่ถึง 688 ลิตรนะครับ

ถือว่าใหญ่มากเฉียดๆ 700 ลิตรนะครับ

มีปุ่มที่ช่วยอำนวยความสะดวกนะครับ

ในการที่เราสามารถเพิ่มลดความสูงของตัวรถได้นะครับ

เวลาที่เราโหลดของหนักๆ จะได้ไม่ต้องยกสูงมากนะครับ

แต่ว่าไม่มีปุ่มที่เราสามารถกดพับเบาะหลังได้

จากที่บริเวณด้านท้ายตรงนี้อาจจะต้องเอื้อมไปกดหรือว่าอาจจะต้องไปเปิดประตูนะครับ

เพื่อที่จะพับเบาะก่อนนะครับ

ที่จะได้พื้นที่มากขึ้นนั่นเองนะครับ

แต่แบบไม่พับเบาะได้ 688 ลิตรก็ถือว่าเยอะมากๆ แล้วล่ะครับ

เรื่องหลักเรื่องใหญ่ของรถ EV ก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ไฟฟ้าแล้วก็เรื่องของการชาร์จ

Lotus ใส่เต็มมาให้ด้วยความที่รถมีขนาดใหญ่มาก

แบตเตอรี่ก็เลยให้มาขนาดใหญ่ถึง 112kWh นะครับ

ถือว่าแบตไซส์ใหญ่จริงๆ นะครับ

เขามี 2 Variance ก็คือ Eletre S นะครับ

ที่เรตติ้งความแรงอยู่ที่ 600 แรงม้า

ตัวนั้นถ้าชาร์จเต็มอ่ะเขาเคลมว่าจะวิ่งได้ไกล 600 กิโลเมตรนะครับ

แต่ถ้าเกิดเป็นตัวแรง 900 แรงม้า

ได้รถแรงก็ต้อง Compromise เรื่องแบตเตอรี่ลงมานิดหนึ่งนะครับ

เขาเคลมว่าชาร์จเต็มจะวิ่งได้ไกล 490 กิโลเมตรนั่นเองนะครับ

มันต้องย่อกันลงมา

แม้ว่าจะเป็นแบตไซส์เดียวกันก็ตาม

แต่ตัวรถน่ะมีความแรงมากกว่ากันพอสมควรเลยนะครับ

อย่างไรก็ตามพอแบตไซส์ใหญ่ขนาดนี้

ก็ต้องเผื่อการชาร์จให้มันเร็วด้วยนะครับ

AC 22 กิโลวัตต์เต็มเหนี่ยวเลยนะครับ

ให้สเปกจัดเต็มมาไม่ต้องเพิ่มเงินนะครับ

DC 355 กิโลวัตต์ครับ

นี่ถือว่าเป็นรถ EV ที่ชาร์จ DCได้เร็วที่สุดคันหนึ่ง

ที่วางจำหน่ายอยู่ในตลาดโลกตอนนี้นะครับ

ไม่ใช่แค่ในไทยนะ

เพราะว่า DC 355 กิโลวัตต์นี่ถือว่าเร็วมากที่สุดอยู่แล้วนะครับ

แทบจะหาเครื่องชาร์จที่เร็วขนาดนี้ไม่ได้อีกแล้วนะครับ

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ใช้ Home Charging ธรรมดาทั่วไปนี้

เราสามารถที่จะประจุไฟคันนี้ที่อัตราเร็วสูงสุด 22 กิโลวัตต์ได้นะครับ

ดังนั้นข้ามคืนสัก 5-6 ชั่วโมง

เราสามารถเติมแบตเตอรี่คันนี้จากเกือบหมดจนถึงเต็ม 100% นะครับ

พร้อมออกเดินทางไกลในวันรุ่งขึ้นได้อยู่แล้วนะครับ

ที่บ้านของผมติดตั้งเครื่องชาร์จเครื่องนี้นะครับ

สปอนเซอร์ใจดีของเรานะครับ

ก็คือ Enel X Waybox นั่นเองนะครับ

นี่เป็นเครื่องชาร์จรถ EV ที่เป็น Smart Charging นะครับ

เราสามารถที่จะควบคุมสั่งการดูสถานะการชาร์จ

ผ่านทางแอปพลิเคชัน Enel X Way ได้ตลอดเวลานะครับ

สามารถที่จะตั้งเวลาการชาร์จถ้าเกิดใครใช้มิเตอร์ TOU นะครับ

ช่วงที่ค่าไฟถูกหลัง 22:00 น.นะครับ

ก็จะเริ่มชาร์จโดยอัตโนมัตินะครับ

กลับถึงบ้านกี่โมงก็ตามเสียบชาร์จทิ้งไว้ได้เลย

ตัวเครื่องก็จะยังไม่เริ่มชาร์จให้จนกว่าจะถึงเวลา TOU ที่เราตั้งค่าไว้นั่นเอง

ผมใช้งานมาสักพักใหญ่ๆ แล้วนะครับ

ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใดมีความเสถียรอย่างมาก

แล้วก็บริการหลังการขายดีเยี่ยมอีกด้วยนะครับ

Enel X Way ยังเป็น Smart EV Charger รุ่นยอดนิยมครับ

ราคาขายเริ่มต้นเพียง 39,000 บาทเท่านั้น

คุณผู้ชมที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE@EVMALL ครับ

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของรถคันนี้

ก็คือถ้าเกิดเราเสียบชาร์จทิ้งไว้แล้วเดินกลับมาที่รถ

เห็นไฟสีเขียวกระพริบๆ เมื่อกี้บอกป่ะ

คือตัวรถน่ะจะบอกเราว่าระดับแบตเตอรี่ที่เรากำลังชาร์จรถคันนี้อยู่

ได้กี่เปอร์เซ็นต์แล้วนะครับ

กลับมาปลดล็อกมันจะบอกเราล่วงหน้านิดหนึ่งก่อนขึ้นรถนะครับ

ว่าที่ชาร์จไว้อ่ะได้เกือบเต็มแล้วหรือยัง

ได้ประมาณไหนแล้วเป็นฟีเจอร์ที่เก๋มากครับ

เรามาดูข้างในของ Lotus Eletre กันนะครับ

ผมอยากพาดูเบาะหลังก่อนนะครับ

ด้วยความที่รถคันนี้มันไซส์ใหญ่มากแล้วก็เป็นรถครอบครัว

หลายคนก็คงไม่ได้นั่งหน้ากันแค่ 2 คน

แล้วก็มีสมาชิกในครอบครัวหรือแม้กระทั่งเจ้าของรถอ่ะ

ก็มีโอกาสได้นั่งข้างหลังกันบ้างนะครับ

ที่ผมยังไม่ได้ขึ้นให้ดูเพราะว่าอยากให้สังเกตว่าประตูอ่ะ

นอกจากที่จะเปิดได้กว้างมากแล้วอ่ะ

ประตูนี้ยังเป็นบานใหญ่ค่อนข้างมากด้วยนะครับ

คือเพิ่มพื้นที่ในการที่เราสามารถขึ้นลงได้นะครับ

อยากให้สังเกตบริเวณนี้หน้าต่างที่ตัดขอบตรงนี้

คือมันเว้าขึ้นไปสูงมากครับ

ทำให้เวลาที่เราขึ้นมานั่งอ่ะ

เห็นป่ะ

ว่าเราไม่ต้องก้มไม่ต้องเอี้ยวเลยครับ

คือตอนผมลงจากรถอ่ะก็ลงท่านี้ได้เลยอ่ะ

เห็นป่ะ

หัวไม่ชนครับ

คือไม่มีปัญหาของรถ SUV หลากหลายรุ่นที่เราเจอกันในตลาดปัจจุบันน่ะ

ว่าตอนที่เราจะลงจากรถอ่ะเราจะต้องเอี้ยวมาข้างหน้านิดหนึ่ง

เพื่อที่จะหลบความเว้าลงมาของประตูตรงนี้

แต่อันนี้ก็คือลงได้เลย

ดูสิ

หน้าต่าง 2 ชั้นนะครับ

แล้วก็ด้านหลังจะเป็น Tinted Privacy Glass

อันนี้ไม่ได้ติดฟิล์มนะ

ก็คือคู่หลังจะมืดแบบนี้มาเลยจากโรงงานนะครับ

ถ้าเกิดใครอยากติดฟิล์มให้มืดมากขึ้นก็ได้

แล้วก็เป็นกระจก 2 ชั้นทั้งคันเลยนะครับ

เพื่อที่จะลดเสียงรบกวนจากภายนอกนะครับ

แล้วก็ทำให้ตัวรถเย็นเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยนะครับ

เวลาที่เราจอดตากแดดนะครับ

ประตูทั้ง 4 บานเป็นแบบ Soft Close อย่างแน่นอนนะครับ

ปิดแค่งับไว้นิดเดียวนะครับ

ก็จะปิดเข้ามาให้โดยอัตโนมัติแบบนี้นะครับ

แล้วดูพื้นที่สิ

จะบอกว่ากว้างขวางมาก

คือด้วยความที่เป็นรถไซส์ใหญ่ครับ

ใครมองหารถกว้างๆ เข้ามาแล้วมีพื้นที่ภายในอยู่พอสมควรน่ะ

คือตอบโจทย์แน่ๆ นะครับ

ใหญ่จริงๆ นะครับ

ทั้ง Headroom Knee Room นะครับ

คือเหลือเฟือเลยอ่ะ

แล้วก็รุ่นนี้เป็นแบบ 5 ที่นั่งนะครับ

ก็คือด้านหลังไม่ได้แยกที่นั่งกันนะครับ

ตรงกลางเรียบไปอย่างนี้เลยนะครับ

แล้วก็ดูที่พื้นสิไม่มีอุโมงค์ขึ้นมาด้วย

นี่คือพื้นที่เยอะเลยนะ

ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องเบียดกันนะครับ

คือด้วยความที่รถไซส์ใหญ่จริงนะครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มาใส่เต็มมากๆ เช่นเดียวกันนะครับ

แอร์แยกโซนสำหรับผู้โดยสารแถวหลังนะครับ

แอร์ตรงกลางนี้สามารถที่จะปรับได้ผ่านหน้าจอตรงกึ่งกลางนี้

ที่มีมาให้ปรับด้วยนะครับ

แล้วก็สามารถที่จะใช้นิ้วเลื่อนเปลี่ยนองศาทิศทางของแอร์ได้นะครับ

มีแอร์ที่บริเวณเสา B มาให้เป็นที่เรียบร้อยเลยนะครับ

มีที่วางแขนมาให้กรณีที่เรานั่งกันแค่ 2 คนนะครับ

อยู่ใน Position ที่กำลังโอเคกำลังสบายนะครับ

มีช่องวางแก้วมาให้อีก 2 ตำแหน่งตรงนี้

มีที่เก็บของเล็กๆ บางๆ วางโทรศัพท์มือถือได้บ้างนะครับ

ด้านหลังตรงนี้ครับ

สำหรับช่องชาร์จอาจจะมองไม่เห็นไม่มีที่ชาร์จ USB ให้นะครับ

อยู่ตรงนี้ซ่อนอยู่ตรงนี้นะครับ

หลายคนมองไม่เห็นนะ

จะต้องเอี้ยวมาดูนิดหนึ่งนะครับ

มี Type C มาให้ 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารแถวหลังนะครับ

โดยรวมก็สบายดีเลยอ่ะ

คันนี้ด้วยความที่เป็น Lotus Eletre R เขาเน้นความแรงนะครับ

Option ที่ติดมาจะน้อยกว่าที่ติดมากับ Eletre S รุ่นเริ่มต้นนะครับ

จะแปลกๆ นิดหนึ่งนะ

รุ่นท็อปให้ Option น้อยกว่าแต่ว่าแรงกว่าค่อนข้างมากนะครับ

คันนี้ที่เรามารีวิวกันไม่ได้เติม Option หลังคากระจกมาให้นะครับ

ซึ่งถ้าเกิดใครเติม Option หลังคากระจกก็จะมี Option ให้อีก 2 Option เช่นเดียวกัน

ก็คือเป็นหลังคากระจกธรรมดานะครับ

กับหลังคากระจกที่เราสามารถปรับความทึบได้นะครับ

ถ้าเกิดเป็นรุ่นที่ปรับความทึบได้จะเกลี่ยได้ละเอียดมากจะเท่มากๆ เลยนะครับ

แต่ถ้าเกิดใครกลัวร้อนอากาศบ้านเรานะครับ

แล้วก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องเห็นแบบโปร่งเห็นท้องฟ้าเห็นดวงดาวอะไรนะครับ

ก็เป็นหลังคาทึบมาตรฐานแบบนี้มาเลยก็โอเคเหมือนกันครับ

ข้อสังเกตนิดหนึ่งสำหรับเบาะหลังตรงนี้นะครับ

มันเป็นเบาะหลังที่ปรับเอนได้ด้วยนะด้วยระบบไฟฟ้านะครับ

มีปุ่มปรับอยู่ด้านข้างเบาะนะครับ

ถ้าเกิดเราเอนลงไปสุดอ่ะก็จะได้พื้นที่ประมาณนี้นะครับ

ผมว่าก็อยู่ใน Position ที่ค่อนข้างสบายเลยนะครับ

หรือถ้าเกิดเราอยากเพิ่มพื้นที่สัมภาระนิดหนึ่งนะครับ

หรือว่ารู้สึกว่ามันเอนเกินไปนะครับ

นั่งทางไกลไม่ค่อยสบายมาก

ก็ตั้งให้มันชันขึ้นมาได้นะครับ

ตามองศาที่เราต้องการ

แต่ข้อสังเกตนิดหนึ่งก็คือผมรู้สึกว่าหมอนรองศีรษะตรงนี้มันแข็งไปหน่อย

มันจะไม่ได้แบบไม่ได้นุ่มนิ่มเหมือนกับเป็นรถ Luxury Sedan

หลายรุ่นหลายยี่ห้อที่ขายอยู่ในตลาดปัจจุบันนะครับ

เราพิงเข้าไปก็จะดังป๊อกนิดหนึ่งนะครับ

คือมันค่อนข้างแข็งนิดหนึ่ง

ถ้าเกิดมันได้เป็นหมอนนุ่มๆ ก็จะเพอร์เฟกต์มากๆ เลยครับ

ดูด้านหลังไปแล้วมาดูด้านหน้ากันบ้างนะครับ

บอกว่าอลังการมาก

ใครคุ้นเคยกับ Lotus ยุคเดียวกับผมอ่ะ

เข้ามาใน Lotus ในยุคใหม่อย่าง Eletre ต้องมีตกใจกันนะครับ

เพราะว่าเขาเสริมความหรูหราเข้าไปแบบใส่เต็มจริงๆ นะครับ

ความดิบๆ ของรถ Lotus ที่เน้นการขับขี่เพียวๆ เลย

แบบไม่ได้สนใจความสบายไม่ได้สนใจหน้าจอ

หรือว่าวัสดุที่ใช้เยอะขนาดนี้

ขึ้นมามีตกใจนะครับ

อย่างกับเป็นรถคนละยี่ห้อกันเลยนะครับ

Lotus Eletre ใส่ใจเรื่องนี้มากนะครับ

วัสดุต่างๆ ที่เราสามารถจับได้นี้

ไม่โดนหนังแท้ก็โดน Alcantara นะครับ

โอกาสที่เราจะไปจับโดนที่มันเป็นวัสดุพลาสติกก๊อบแก๊บอะไรอย่างนี้

แทบจะไม่มีเลยนะ

คือไม่โดน Alcantara ก็โดนหนังอ่ะ

คือมันไม่ได้จับไปโดนชิ้นส่วนที่เป็นพลาสติก

แล้วแบบให้เรารู้สึกไม่ดีแบบนั้นนะครับ

คือใส่ใจมากอ่ะ

แล้วหน้าจอตรงกลางก็ใหญ่มากด้วย

เป็นหน้าจอแนวนอนนะครับ

ขนาด 15.1 นิ้วทัชสกรีนแน่นอนอยู่แล้วนะครับ

แต่ความละเอียดของหน้าจอคือความละเอียด Quad-HD นะครับ

2560x1600 พิกเซลนะครับ

ชิป CPU ที่ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 8155 นะครับ

ที่มันใช้ในรถรุ่นที่โมเดิร์นมากๆ แบบนี้

แล้วก็ Engine ที่ใช้เป็น Unreal Engine ด้วยนะครับ

มีการ Render แบบเรียลไทม์ตลอดเวลา

รถที่เราเห็น Lotus Eletre ตรงนี้

ก็คือรถคันของเรานี่แหละ

ก็คือมันรีเฟล็กซ์ของจริงทุกอย่างนะครับ

เราเปิดไฟฉุกเฉินในนี้เปิดไฟฉุกเฉินนะครับ

เราเปิดประตูในนี้เปิดประตูนะครับ

คือเรียลไทม์ทุกอย่างนะครับ

เรากลับมาดูได้ทุกด้านของตัวรถ

Render แบบ 3 มิติเรียลไทม์อย่างนี้อยู่ตลอดเวลานะครับ

แล้วก็มีฟีเจอร์หลากหลายอย่างที่อยู่ใน OS ที่ทาง Lotus พัฒนาขึ้นมาใหม่

ให้มาอยู่ใน Eletre โดยเฉพาะนะครับ

แล้วก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตด้วย

แต่ว่าวันนี้ยังค่อนข้าง Early อยู่สำหรับ Eletre นะครับ

ก็ต้องให้เวลา Develop ซอฟต์แวร์นิดหนึ่ง

อาจจะยังมีบางอย่างขลุกขลักอาจจะยังมีบางอย่างที่ยังไม่ Support ณ วันนี้

แต่ว่าทาง Lotus ให้คำมั่นสัญญาว่าจะอัปเดตให้มันเก่งขึ้นมากๆ อย่างแน่นอน

เพราะว่าฮาร์ดแวร์พร้อมอยู่แล้วเหลือแค่ซอฟต์แวร์ตรงนี้แหละ

ที่จะต้องอัปเดตตามกันมานั่นเองนะครับ

วัสดุที่ใช้ดีไซน์ที่ใช้ใน Eletre

ผมคิดว่าขึ้นมาหลายคนน่าจะถูกใจนะ

คือเราแทบจะไม่เห็นดีไซน์แบบนี้ความหรูหราแบบนี้

กับรถคันอื่นในตลาดสักเท่าไหร่

แล้วก็ค่อนข้างแปลกตาด้วยนะครับ

ที่อ่ะใช้หน้าจอใหญ่ตรงนี้แต่ว่าหน้าปัดหลังพวงมาลัยไม่ได้มีหน้าจอใหญ่ๆ นะ

เป็นหน้าจอแบนๆ แคบๆ นะครับ

ความสูงนิดเดียวเอง

บอกเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นกับเราครับ

บอกความเร็วที่เราใช้อยู่บอก Range ที่เหลืออยู่

บอกโหมดการขับขี่ที่ใช้อยู่ระดับ Regen

หรือว่า Position เกียร์ตอนนี้ที่บอกกับเราแบบคร่าวๆ เท่านั้นเองนะครับ

อยู่ในหน้าจอแคบๆ

แต่ว่าที่เยอะหน่อยจะไปอยู่ใน Head-Up Display

ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เวลาที่เราขับขี่จริงอยู่

เปิดระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆ เห็นภาพต่างๆ ชัดเจนมากๆ นะครับ

ตรงกลางคอนโซลตรงนี้ค่อนข้างหนาเหมือนกัน

แต่ว่าเก็บของได้เยอะมากนะครับ

ตรงช่องวางแขนตรงกลางลึกมาก

เข้าไปได้เกือบมิดทั้งแขนอ่ะนะครับ

คือเก็บของได้เยอะจริงตรงนี้นะครับ

ช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่งเล็กอันหนึ่งอาจจะวางกระป๋องน้ำได้นะครับ

ใหญ่อันหนึ่งสำหรับวาง Tumbler ใหญ่ๆ นะครับ

ถ้าเกิดเราไม่ได้วางอะไรเราดันขึ้นมาให้เรียบๆ ได้

แต่ถ้าเกิดเรามีแก้วเรากดลงไปก็จะกลายเป็นช่องวางแก้วแบบนี้นะครับ

แท่นชาร์จไร้สายที่เป็นที่อ่าน NFC ด้วยนะครับ

ก็คือสามารถอ่านกุญแจรีโมทของทาง Lotus ที่ให้มาได้ด้วยนะครับ

ตำแหน่งเกียร์ต่างๆ ปรับตรงนี้นะครับ

ก็จะเป็นแท่นความหรูหราเลยนะแบบเป็นสีทองเงาๆ แบบนี้นะครับ

ตรงนี้ปรับเกียร์ตรงนี้ 2 อันซ้ายขวาปรับแอร์นะครับ

ก็คือดันขึ้นก็ร้อนหน่อยฝั่งนี้

หรือว่าดันลงมาก็ให้มันเย็นขึ้นนะครับ

สำหรับแอร์ฝั่งนี้นั่นเองอนะครับ

ที่เหลือจะเป็นปุ่มทัชสกรีนละที่อยู่ทั้งในหน้าจอ

แล้วก็เป็นปุ่มที่ปรากฏอยู่ที่เราเห็นตรงนี้ครับ

ผมอยากพูดถึงพวงมาลัยเพิ่มนิดหนึ่งนะครับ

นอกจากวัสดุที่ใช้ที่ดูหรูหราแล้ว

เขายังมีพวกฟีเจอร์ต่างๆ ที่ให้มากับพวงมาลัยชุดนี้มากพอสมควรเลยนะครับ

รูปทรงพวงมาลัยแปลกๆ หน่อยนะ

ก็คือมันจะตัดเป็น 8 เหลี่ยมอ่ะ

คือตัดด้านบนด้านล่างเป็นแบบเรียบๆ อย่างนี้นะครับ

แล้วก็ด้านข้างเหลี่ยมลงมานะครับ

แล้วก็มีการใส่ฟีเจอร์ที่เหมาะกับรถไฟฟ้าเข้าไป

Paddle Shift ตรงนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เหมือน Paddle Shift ในการเปลี่ยนเกียร์

เหมือนรถสันดาปนะ

แต่ว่าด้านซ้ายตรงนี้ Paddle Shift มีไว้ปรับระดับการ Regen นะครับ

ซึ่งสามารถปรับได้ถึง 4 ระดับด้วยกันนะครับ

แล้วก็เขี่ยเอานะครับ

ระดับการ Regen นะบวกลบนะครับ

ในขณะที่ด้านขวาตรงนี้ปรับโหมดการขับขี่

ซึ่งใน Eletre R มีหลายโหมดมากนะครับ

ก็คือโหมดปกติที่ Lotus เรียกอ่ะหรือว่าโหมด Normal โหมด Comfort ทั่วๆ ไป

เขาจะเรียกว่าโหมด Tour หรือว่าใช้ในการ Touring เดินทางไกลๆ

ก็คือโหมดที่ให้ความสบายที่สุดนั่นแหละนะครับ

เขี่ยขึ้นมาอีกหน่อยก็จะเพิ่มเข้าสู่โหมด Sport

แล้วก็จะเป็นรุ่นเดียวเท่านั้นที่มีโหมด Track ในการที่จะใช้งานในสนามแข่งนะครับ

โหมดที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากรถปกติทั่วๆ ไปก็คือจะเป็นโหมด Individual นะครับ

เราสามารถที่จะปรับแต่งได้ตามใจชอบเลยนะครับ

ว่าอยากได้พวงมาลัยหนักหน่อย

เป็นพวงมาลัยสปอร์ตแต่ว่าอยากได้ช่วงล่างแบบ Comfort นะครับ

ปรับได้ใน Individual นะครับ

แล้วก็พอเป็นรถไฟฟ้าก็จะมีโหมด Range ให้เราใช้

หรือว่าโหมดที่เราจะประหยัดพลังงานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สมมุติว่าไปไม่ถึงสถานีชาร์จแน่นะครับ

ก็เข้าสู่โหมด Range แล้วก็ค่อยๆ คลานกันไปนะครับ

แล้วก็สุดท้ายมีโหมด Off-Road ให้ได้ลุยทางขรุขะกันด้วยนะครับ

ซึ่งถ้าเกิดใครอยากไปลุย Off-Road จริงๆ ก็ไม่ได้แนะนำให้ใช้ยาง 23

แบบขอบบางเฉียบอย่างนี้นะครับ

โอกาสยางแตกค่อนข้างสูงเหมือนกันนะครับ

ก็ต้องระมัดระวังกันไปนะครับ

แต่ว่าโหมดการขับขี่โดยรวมแล้วมีให้เลือกมากถึง 6 โหมดด้วยกัน

กราฟิกเขาทำได้สวยงามมากนะครับ

อีกอันหนึ่งที่สามารถปรับได้จากหน้าจอตรงนี้

ก็คือเราสามารถปรับระดับความสูงของตัวรถนะครับ

หรือว่า Ride Height ได้ถึง 5 ระดับด้วยกันนะครับ

ก็คือเราจะย่อลงไปให้เตี้ยสุดเลยก็ได้นะครับ

ก็กดเป็น Lowest เลยมันก็จะเตี้ยลงไปสุดๆ เลย

ขึ้นลงรถได้อย่างง่ายดายนะครับ

หรือถ้าเกิดต้องการสูงหน่อยนะครับ

เราเห็นทางด้านหน้าแล้วไม่ค่อยดีต้องการ Ground Clearance เยอะหน่อย

สามารถดันขึ้นสู่ระดับสูงสุดได้เช่นเดียวกัน

โดยที่เราจะได้ระดับ Ground Clearance จากพื้นจนถึงใต้ท้องรถ

ประมาณเกือบๆ 20 เซนติเมตรเลยสำหรับ Eletre ครับ

น่าสนใจมาก

ที่เดี๋ยวเราไปขับขี่พร้อมกันครับ

โอเคเรามาลองขับ Eletre R กันนะครับ

จริงๆ ถ้าเกิดใครดูตั้งแต่คลิปที่ผมพาขับที่นอร์เวย์อ่ะ

เราพาขับกันแบบหลายสถานการณ์พอสมควรนะครับ

แต่ว่าที่นั่นมันเป็นถนนต่างประเทศ

หลายคนเวลาเห็นเราทดสอบรถที่ถนนต่างประเทศ

ก็จะบอกว่าถนนเขาเรียบอ่ะ

ยังไงมันออกมามันก็จะรู้สึกว่ามันนุ่มมันเงียบมันสบาย

ซึ่งผมไม่เถียงนะครับ

มันค่อนข้างจะจริงเลยแหละ

ดังนั้นเราก็เลยจะต้องมาทดสอบแบบถนนไทยกันอีกทีหนึ่งเหมือนกันนะครับ

รอยต่อทางด่วนเราก็ค่อนข้างลึก

ซอยบ้านเราก็แคบกว่าเขานะครับ

รวมถึงสภาพอากาศบ้านเรานะครับ

ยางที่มาเจอกับสภาพถนนบ้านเราทุกอย่าง

ดังนั้นมันมีปัจจัยที่แตกต่างกันพวกนี้อยู่นะครับ

ทำให้การทดสอบหรือว่าความรู้สึกที่ได้อาจจะแตกต่างกันไปบ้างนะครับ

วันนี้คันที่ผมทดสอบอ่ะเป็น Eletre R เลย

ก็คือเป็นตัวท็อปสุดของ Lotus Eletre นะครับ

Lotus Eletre R ถือสถิติเป็นรถ SUV พลังไฟฟ้าล้วน

ที่ใช้มอเตอร์คู่ที่แรงที่สุดในโลกนะครับ

ที่จะต้องมียศตำแหน่งยาวขนาดนี้

เพราะว่ามันมีการถือครองสถิติที่แตกต่างกันไปครับ

ไม่ใช่ SUV ไฟฟ้าที่แรงที่สุดในโลกด้วยนะ

มีคันที่แรงกว่านี้

แต่ว่านี่คือมอเตอร์คู่ที่เป็น SUV ที่แรงที่สุดในโลกนะครับ

905 แรงม้าครับ

985 นิวตันเมตนะครับ

0-100 ใน 2.95 วินาทีครับ

นี่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ Amazing มาก

นี่เป็นตัวเลขที่แบบแรงทะลุซูเปอร์คาร์หลากหลายค่ายไปแล้วนะครับ

ที่เราสามารถเป็นเจ้าของได้ในราคา 6,590,000 บาทนะครับ

เรียกเสียงฮือฮายอย่างมากราคาเท่านี้เดี๋ยวนี้ได้รถ 900 แรงม้าแล้วนะครับ

แต่ Lotus ทำได้ด้วยผลประโยชน์ทางด้านภาษี

คันนี้ประกอบจีนนะครับ

เข้ามาก็ทำให้ราคาขายในบ้านเราน่าสนใจมากพอสมควรเลยนะครับ

ผมจะเริ่มทดสอบคันนี้ด้วยสิ่งที่หลายคนอยากเห็นนะครับ

ก็คือเราจะ Launch Control กันก่อนเลยนะครับ

เราจะทำ 0-100 ดูว่า 2.95 วินาทีที่เขาเคลมไว้

แต่พอมาอยู่ในรถร่างใหญ่น้ำหนัก 2.7 ตันนะคันนี้

ไม่รวมคนนั่งเข้าไปนะครับ

รวมคนนั่งอะไรเข้าไปเรียบร้อยเกือบๆ 3 ตันนะครับ

มันจะเป็นยังไงรถ 900 แรงม้ากับ SUV คันใหญ่ขนาดนี้นะครับ

เรามา Launch Control กันก่อน

แล้วเดี๋ยวเราค่อยเล่ากันต่อว่ารถคันนี้ขับขี่จริงบนถนนจริงของเมืองไทย

บนทางด่วนจริงของเมืองไทยเป็นยังไงกันบ้างนะครับ

แต่ตอนนี้มา Launch Control พร้อมๆ กันก่อนครับ

อ่ะลองดูครับผม Launch Control ครับ

เบรกสุดเร่งสุดครับ

Launch Mode Activated ครับ

3 2 1 ไปครับ

น่ากลัวมาก

0-100 ที่เขาเคลมไว้ 2.95 วินาทีไม่เกินความจริงนะครับ

แล้วเห็นป่ะว่ามันมาแบบเงียบๆ อ่ะ

คือคันใหญ่ขนาดนี้นะครับ

แต่ว่ามาแบบเงียบๆ ไม่มีเสียงไม่มีอะไรหวือหวานะครับ

มีเสียงล้อสลิปนิดเดียวเท่านั้นเองนะครับ

เพราะว่าเราจะต้องปิดตัว ESC ไว้นะครับ

เขาถึงจะยอมให้เราทำ Launch Control

ซึ่งนี่คือเต็มพละกำลังละมอเตอร์คู่นะครับ

905 แรงม้านะครับ

ถือว่าเป็นมอเตอร์คู่ SUV ไฟฟ้าล้วนที่แรงที่สุดในโลกนะครับ

แต่ไม่มีความหวือหวาเลยเห็นป่ะ

เพราะว่ามันมาแบบเงียบๆ ไง

คือมันไม่ได้ใช้เสียงสังเคราะห์มากระตุ้นเรา

เหมือนกับรถหลายๆ ยี่ห้อที่ใช้อยู่ตอนนี้นะครับ

หรือว่าไม่ได้มีแรงสั่นสะเทือนที่แบบว่าเตือนเรามาก่อน

ว่าเรากำลังจะเร่งออกไปเต็มเหนี่ยวขนาดนี้นะครับ

นี่คือรถที่แรงมากในร่างที่คนดูไม่ออกเลย

ถ้าเกิดเราไม่ได้ติดตามว่า Lotus Eletre มีเรตติ้งความแรงอยู่ที่เท่าไหร่อ่ะ

เราดูจากภายนอกอ่ะเราจะรู้สึกว่ารถคันนี้มันก็คืออาจจะอ่ะดูออกว่าเป็นรถไฟฟ้า

แต่ว่าดูไม่ออกแน่ว่า 900 แรงม้า

หรือแม้กระทั่ง Eletre S ก็ตามดูไม่ออกแน่ว่า 600 แรงม้านะครับ

ไม่น่าเชื่อว่ารุ่นเริ่มต้นที่ขายในไทยนี้ที่เป็น Eletre S

ไม่ถึง 6 ล้านอ่ะ

5 ล้านปลายๆ อ่ะได้แล้ว 600 แรงม้านะครับ

0-100 คันนั้นคือ 4.5 วินาทีนะครับ

ถ้าเกิดเราเอาตัว Eletre R 900 แรงม้า

เราจะได้ 0-100 ใน 2.95 วินาทีตีว่ากลมๆ 3 วินาทีถ้วนๆ แล้วกันนะครับ

แต่ว่าเขาใส่ตัวเลขให้มันดราม่าหน่อยว่าเร็วกว่า 3 วินาทีอีกนะครับ

ซึ่งโหดมาก

ผมบอกเลยว่าคันนี้แรงเกินการใช้งานของคนส่วนมาก

หรือเรียกว่าจะเป็นคนทั้งหมดเลยก็ได้นะครับ

เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้ SUV 900 แรงม้าในชีวิตประจำวันนะครับ

ไม่มีใครจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้นะครับ

แต่ว่าการที่เรามีสิ่งนี้ให้เราใช้งานได้อ่ะ

มัน Amazing มากครับ

คือเราเรียกพลังมันออกมาเมื่อไหร่ก็ได้

แล้วมาแบบเงียบๆ ด้วยนะ

คือมาแบบไม่มีทางรู้เลยว่ารถคันนี้อมพละกำลังไว้เยอะขนาดนี้นะครับ

แต่ก่อนที่จะไปถึงว่าเราจะได้ใช้ในสถานการณ์ไหนบ้าง

ผมขออนุญาตปรับ Drive Mode ของเราจาก Track เมื่อกี้

เข้ามาสู่โหมด Tour ปกติทั่วๆ ไปก่อน

นี่จะเป็นโหมดที่เราใช้งานกันโดยส่วนมากอยู่แล้ว

เหมือนกับเป็นโหมด Comfort หรือว่าโหมด Normal ของรถปกติทั่วๆ ไปนะครับ

ช่วงล่างเป็นถุงลมนะครับ

นุ่ม เงียบ สบายมาก

ผมว่าความเงียบเด่นมากใน Eletre

กระจก 2 ชั้นทุกบานนะครับ

แล้วดูสิดูความเงียบสิ

ดู Ambient สิ

เงียบจริงๆ

ผมชะลอๆ หน่อยอ่ะให้มีรถแซงอ่ะ

ให้มีรถแซงเราไปอ่ะ

เราไม่ได้ยินเลยรถคันที่แซงเราไป

เสียงล้อเสียงยางเสียงแหวกอากาศต่างๆ เราไม่ได้ยินเลย

มีรถตู้ Caravelle คันใหญ่หน่อยแซงเราไป

เราไม่ได้ยินเลยครับ

เสียงมันไม่เข้ามาในนี้เลย

อันนี้คือเงียบจริงนะครับ

แล้วก็นุ่มจริง

รอยต่อทางด่วนถ้าเกิดอยู่ในโหมด Tour นะ

ขอย้ำว่าอยู่ในโหมด Tour นะครับ

ตัวช่วงล่างถุงลมซับไปได้แบบนุ่มสบายจริง

อันนี้ผิดวิสัยของความคาดหวังของผมที่คาดหวังจากแบรนด์ Lotus พอสมควรเลยนะ

เราไม่ได้คิดเลยว่า Lotus จะทำรถนุ่มสบาย Luxury นะครับ

แต่เขาให้มันแล้วแหละใน Lotus Eletre

รวมถึงในอนาคต Emeya ที่จะใช้ชุด Drivetrain เดียวกัน

แต่ว่าเป็นซีดานที่แบบเตี้ยลงมาสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบ SUV อ่ะ

มันคือความนุ่มความเงียบความสบายความหรูหราล่ะ

ที่ Lotus ให้มาได้นะครับ

แต่ว่ายังไงก็ตามนี่คือแบรนด์ที่มี Heritage ทางด้าน Motorsport แบบเต็มเหนียวครับ

เขาศักดิ์ศรีอดีตแชมป์โลก Formula 1 นะครับ

ดังนั้นความบ้าในการทำรถสปอร์ตของ Lotus อ่ะยังคงอยู่นะครับ

แต่ว่าจะไปอยู่ในโหมดอื่นที่ไม่ใช่โหมดปกติทั่วไปนะครับ

ก็คือจะไปอยู่ในโหมด Sport อยู่ในโหมด Track นะครับ

รถ Lotus เขาต้องการันตีว่าวิ่งในสนามแข่งได้

แล้วทุกคันเขาก็ทดสอบในสนามแข่ง

รวมถึง Eletre ก็ถูกทดสอบในสนามแข่งเช่นเดียวกันในขั้นตอนการพัฒนานะครับ

ดังนั้นถ้าเกิดเราอยากจะเอามันไปซิ่ง

อยากจะเอามันไปลงสนามแข่ง

Lotus บอกว่าได้เลยตามสบายเต็มที่ได้เลย

เพราะว่าถูกทดสอบมาในสนามแข่งแล้วนะครับ

ตัวเลือกขณะที่เราสั่งซื้อ Eletre R ตัวแรงนี้

เราเลือกได้แม้กระทั่งจะใส่ยางตัวแข่งอ่ะ

คือเราสามารถที่จะเลือกยาง Pirelli Corsa ได้นะครับ

คือเขาพร้อมที่จะให้เราเอารถไปลงสนามแข่งได้เบอร์นั้นเลย

แต่มันไม่ใช่ทุกคนที่จะเอารถไปลงสนามแข่ง

บางคนขับรถมาทั้งชีวิต

ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเอารถเราไปลงสนามแข่งเลยด้วยซ้ำไปนะครับ

มันเหมือนกับเป็นการบอกว่ารถคันนี้มีความสามารถมากพอ

ที่จะเอาไปทำอะไรได้

นึกภาพตอนที่ iPhone บอกว่าหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องอ่ะใช้ iPhone ถ่ายออกไหม

หรือว่าโทรศัพท์ Android บางรุ่นก็โฆษณาเหมือนกัน

ว่าหนังทั้งเรื่องหนังสั้นเรื่องนี้ Shot on โทรศัพท์รุ่นนี้นะ

คือเป็นการบอกว่าโทรศัพท์รุ่นนี้กล้องดีพอ

ที่จะได้คุณภาพแบบหนังได้

แต่ว่าในชีวิตประจำวันน่ะเราก็คงไม่ได้เอากล้องมือถือไปถ่ายหนังนึกออกป่ะ

คือมันเหมือนกับบอกเราไว้ตัวความสามารถสูงสุดของเขา

ว่ารถคันนี้ลงสนามแข่งได้นะ

แต่ถามว่าใครจะเอา Eletre ทรง SUV แบบนี้ยกสูงแบบนี้ไปลงสนามแข่ง

มันคงไม่ได้เป็นแบบนั้นนะครับ

เพียงแค่แบรนด์บอกเราไว้ว่าความสามารถมันไปถึงขั้นนั้นได้นะครับ

ดังนั้นผมอยากเน้นหนักหน่อยในเรื่องของการเอาคันนี้มาใช้งานในชีวิตประจำวัน

ซึ่งมันนุ่มเงียบสบาย

กว้างขวางมาก

พื้นที่ด้านหลังเหลือเฟือนะครับ

นั่งโดยสารทางไกลสบายๆ นะครับ

ผมกลับอยากเชียร์ Eletre S มากกว่าด้วยซ้ำ

สำหรับคนที่เล็ง Eletre นะ

คือไม่ต้องจ่ายขนาด 6,590,000

เราจ่าย 5,890,000 ไม่ถึง 6 ล้าน

เติม Option หน่อยให้แบบว่าประมาณจบได้ประมาณสัก 6 ล้านถ้วนๆ

หรือ 6 ล้านนิดหน่อย

ผมว่าได้ Eletre รถทรงนี้แบรนด์ Lotus แบบนี้

ความสบายแบบนี้ความนุ่มเงียบอย่างนี้

ความหรูหราแบบนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันแฮปปี้มากแล้ว

ทำไมผมถึงเชียร์ Eletre S มากกว่า R

S 600 แรงม้าแล้วนะ

600 แรงม้านี่เรียกว่าแรงกว่ารถ EV ล้วนในตลาด

เกือบจะทุกรุ่นเกือบจะทุกยี่ห้ออยู่แล้ว

เราไม่นับ Porsche Taycan

หรือถ้ามาลุยกับ Porsche Taycan ก็ต้องลุยกับ Taycan ตัว Turbo ,Turbo S เหมือนกัน

คือเรตติ้งมันแรงแบบนั้นน่ะ

ซึ่งมันไม่จำเป็นแล้วที่จะมาเอารุ่น 900 แรงม้านะครับ

รุ่น Eletre S 600 แรงม้ายังมีข้อดีว่า Range ยังได้ไกลกว่าด้วย

เพราะว่าถูกจูนมาให้มัน Efficient กว่านะครับ

ชาร์จเต็ม 1 ครั้งแบตเตอรี่ 112kWh

ซึ่งแบตก้อนใหญ่มากวิ่งได้ถึง 600 กิโลเมตรเหลือเฟือครับ

ถึงวันนี้ผมกล้าพูดแล้วว่าสถานีชาร์จต่างๆ ที่ถมกันอยู่ทั่วประเทศนี้

เพียงพอแล้วนะครับ

เหลือแค่ว่าเราจะต้องแย่งกันในช่วงเทศกาลไหมแค่นั้นเองนะครับ

ช่วงเทศกาลสำหรับคนที่มีกำลังที่จะซื้อรถ Lotus Eletre

ผมเชื่อว่าที่บ้านมีรถคันอื่นที่พร้อมจะออกต่างจังหวัดได้

ผมเชื่อว่าคุณอาจจะมีคนช่วยขับรถที่อาจจะมีรถตู้อยู่บ้างนะครับ

ในวันที่เราอยากขับเองก็คงจะไม่เกิน Range 600 กิโลเมตรนะครับ

เราขับเองรวดเดียววันเดียว 600 กิโลเมตรก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ

แล้ว 600 กิโลเมตรมันไปได้แทบจะทั่วประเทศอยู่แล้วอ่ะ

ใน Range ที่เราสามารถที่จะขับรถไปได้

ถ้าไกลกว่านั้นก็อาจจะต้องตัดสินใจเลือกบินไปแทนนะครับ

อันนี้มันคุยกันเรื่องความเป็นจริงอ่ะ

ไม่ได้ Defend ว่าใช้รถ EV วันนี้เหมาะสมแล้วหรือยังนะครับ

แต่ว่าคุยกันเรื่องความเป็นจริงผมว่า Range 600 กิโลเมตรมันเพียงพอนะครับ

แต่ถ้าเกิดใครบอกว่าไม่ได้หรอก

อยากซื้อ Lotus ทั้งทีนะครับ

เอาตัวสุดไปเลยเอา Eletre R ไปเลยนะครับ

อยากได้ 900 แรงม้า

อยากได้ความรู้สึกว่ากระแทกคันเร่งแล้วดึงแบบไม่มีทางต้านทานอยู่นะครับ

นี่อยู่ในโหมด Tour นะไม่ได้เข้าโหมด Sport อะไรเลย

อยากได้แบบนี้นะครับ

ก็ต้องยอมว่า Range ของเขาจะย่อลงมาเหลือประมาณ 490 WLTP นะครับ

ก็มันเป็นเรื่องที่ต้อง Trade Off กัน

แต่ว่าผมเชื่อว่าถ้าใครมีโอกาสได้กระโดดขึ้นมาอยู่หลังพวงมาลัย Lotus Eletre

ได้ลองขับหรือแม้กระทั่งได้ลองนั่งอ่ะ

แฮปปี้นะ

อาจจะต้องลืมภาพแบรนด์ Lotus ไปนิดหนึ่ง

ว่ามันจะดิบๆ แข็งกระด้างได้ความรู้สึกของแบบ Driving Dynamic เต็มร้อย

อาจจะต้องลืมภาพนั้นไปนิดหนึ่ง

ยุคของ Lotus ยุคนั้นมันอาจจะได้ผ่านไปแล้วนะครับ

วันนี้ Lotus เป็นแบรนด์ที่จะต้องอยู่รอดนะครับ

เป็นแบรนด์ที่จะต้องมีจำนวนในการขายนะครับ

ดังนั้นมันคือที่มาที่ไปว่าทำไมมันถึงถูกกลายร่างมาเป็นไฟฟ้าล้วน

ทำไมถูกกลายร่างมาเป็น Eletre ร่างใหญ่

ที่เน้นความสบายไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งครอบครัวได้

มี Emeya ที่จ่อจะเปิดตัวภายในปีนี้นะครับ

เขาเปิดรับจองแล้วนะ

แต่ว่าราคาจะยังไม่เคาะนะครับ

ก็ถ้าเกิดใครสนใจว่าอยากได้ Lotus แต่ไม่อยากได้ SUV

ซีดาน 4 ประตูมีแล้วเหมือนกันนะครับ

ซึ่งกว้างขวางใหญ่โตนะครับ

ตัวนั้นน่าจะชนกับไซส์ Panamera หรืออาจจะใหญ่กว่า Panamera นิดหนึ่งด้วยซ้ำไป

ก็ไปเลือกดูกันได้

แต่นี่คือแบรนด์ที่ต้องอยู่รอดเขาเลยต้องอยู่ด้วยจำนวนนะครับ

แล้วก็ใช้โรงงานที่อู่ฮั่น

เป็นโรงงานในเครือของ Geely นั่นแหละ

แต่ว่าเป็นโรงงานที่ Dedicate ให้กับแบรนด์ Lotus เพียงอย่างเดียวนะครับ

ที่จะผลิตเจ้า Emeya , Eletre แล้วก็รุ่นอื่นๆ ต่อไปในอนาคตที่เป็นไฟฟ้าล้วน

เซิร์ฟสู่ตลาดโลกในปริมาณที่มากขึ้นมหาศาลกว่า Lotus ที่เคยผลิตมาในอดีตนะครับ

มันคือยุคใหม่ของ Lotus แล้ว

แต่ว่า Heritage ของแบรนด์ยังอยู่วิศวกรที่ยังพัฒนารถรุ่นเจ๋งๆ ของ Lotus

ก็เป็นหนึ่งในทีมวิศวกรที่พัฒนา Eletre ตัวนี้เช่นเดียวกันนะครับ

ดังนั้นนี่คือรถ 900 แรงม้าที่ Amazing มาก

ผมไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าวันหนึ่งเราสามารถมาเป็นเจ้าของรถ 900 แรงม้าได้

ในราคาเท่านี้เหมือนกันนะ

คือ 900 แรงม้านี่ผมว่ามันเป็นตัวเลขที่เกินกว่าใครจะคาดคิดได้

ว่ามันคือรถคันหนึ่งที่มาวิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วๆ ไป

แล้วไปไหนมาไหนด้วยกันทั้งครอบครัว 5 คนใส่ของได้มหาศาล

พื้นที่เก็บของข้างหลังเกือบ 700 ลิตรอ่ะ 680 ลิตรอย่างนี้

คือมันคาดไม่ถึงอยู่แล้วนะครับ

ดังนั้นนี่เป็นรถที่น่าสนใจมากๆ คันหนึ่งนะครับ

คือใครหา SUV ไซส์ใหญ่ไซส์ครอบครัวแล้วก็พร้อมละที่จะใช้ไฟฟ้าล้วน

ที่บ้านติดเครื่องชาร์จได้

ผมว่าสักครั้งหนึ่งไปขอลองหน่อยนะครับ

ติดต่อทาง Lotus Cars Thailand ว่าขอลองขับหน่อยว่า Eletre นี้

เหมาะกับเราหรือเปล่า

เปิดใจให้เขาหน่อยอาจจะเป็นแบรนด์ใหม่หน่อย

มีเรื่องบริการหลังการขายที่อาจจะท้าทายหลังจากนี้หน่อย

ว่าอ่ะเพิ่งมีศูนย์บริการแห่งเดียวในไทย

แล้วก็เริ่มมียอดขายเริ่มมียอดจองเกิดขึ้น

ต่อไปเขาจะขยายต่อไปยังไง

อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องน่าจับตาดูกันต่อไป

แต่ตัวรถเองอ่ะผมการันตีได้ว่าไม่ผิดหวังหรอก

คือเราขึ้นมาขับเราจะรู้ว่านี่ไม่ใช่รถที่ Quality ธรรมดาทั่วๆ ไปครับ

นี่คือรถที่ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้ Heritage ของแบรนด์ Lotus ที่แท้จริงเลยครับ

เรื่องหนึ่งของการใช้งานในไทยที่ผมสังเกตเห็นได้

แล้วก็แตกต่างจากตอนที่เราทดสอบที่นอร์เวย์

ก็คือผมว่ารถคันนี้เป็นไซส์ใหญ่เกินกว่าที่หลายคนจะคุ้นเคยอยู่เบอร์หนึ่ง

คือเราจะรู้ว่าถ้าเกิดเราขับรถไซส์ใหญ่เราจะเผื่อระยะ กะระยะหน่อยนะครับ

แต่นี่จะใหญ่กว่าที่หลายคนคุ้นเคยขึ้นมาเบอร์หนึ่งเหมือนกันนะ

ก็คือถึงแม้ว่าเราเผื่อแล้วเรายังรู้สึกว่าใหญ่นะครับ

ถ้าเกิดอยู่บนทางด่วนเเราอาจจะไม่ได้รู้สึกมาก

แต่ถ้าเกิดเราอยู่ข้างล่างอ่ะที่มีมอเตอร์ไซค์ร่วมโดยสารด้วย

เราจะเริ่มรู้ละว่ารถเราคับเลนไปนิดหนึ่ง

จะต้องมีการเบียดกันระหว่างรถเรากับรถเลนข้างๆ

แล้วมอเตอร์ไซค์จะเสียบกลางเขาทำท่าจะเสียบได้เสียบไม่ได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน

หรือว่าถ้าเกิดอยู่ในซอยแคบที่ต้องสวนกันน่ะ

เราจะเห็นแล้วว่ารถที่สวนกับเราอ่ะ

เขาจะหยุดให้เราไปก่อน

เพราะว่าเขาเห็นขนาดรถเราจากข้างนอกแล้ว

ไม่น่าจะสวนกันไหวนะครับ

นี่เป็นรถที่มีความท้าทายมากขึ้นในเรื่องของขนาดนะ

คันนี้ใหญ่กว่าที่ผมคิดนิดหนึ่งเหมือนกัน

ตอนที่ขับที่นู่นก็ไม่ได้คิดว่าใหญ่ขนาดนี้

พอเอามาใช้จริงๆ ในนี้ก็รู้สึกว่าใหญ่นะครับ

แล้วก็ใครที่บ้านอยู่ซอยแคบหน่อย

หรือว่ามีความท้าทายในช่องจอดที่บ้านตัวเองหน่อย

หรือที่คอนโดหน่อยก็อาจจะต้องดูเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่าไหวหรือเปล่านะครับ

เพราะว่าใหญ่กว่าที่หลายคนคุ้นเคยอย่างแน่นอน

อีกอันหนึ่งที่ต้องดูกันต่อไปก็คือเรื่องจอนะครับ

จริงๆ แล้วนี่เป็น OS ที่ Lotus พัฒนาขึ้นเอง

แล้วก็มี Potential

คำว่ามี Potential ก็คือมีแนวโน้มที่จะเจ๋งมากในอนาคตนะครับ

แต่ ณ วันนี้ก็ต้องให้ข้อมูลกันตามตรงว่าค่อนข้าง Early นะครับ

สำหรับ OS ตัวนี้ที่เริ่มส่งมอบกันไปนะครับ

ยังไม่สมบูรณ์ 100%

ยังมีบางระบบที่ใช้ไม่ได้

อย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมยังไม่สามารถใช้ Apple CarPlay กับ Android Auto ได้

ซึ่งส่วนตัวผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่นะ

คือถ้าเกิดส่งมอบรถให้เราแล้ว

แล้วแบบใช้ไม่ได้จะนำทางยังไงในทุกวันนี้นะครับ

คือแผนที่นำทางที่ติดมาในตัว OS เองก็ยังใช้ได้ไม่ดีนักนะครับ

อันนี้ก็บอกกันตรงๆ ว่าตรงนี้อาจจะต้องเร่งกับทาง Lotus Cars Thailand

ว่าอ่ะซอฟต์แวร์จะให้ใช้ Apple CarPlay Android Auto ได้เมื่อไหร่

ใช้ได้แน่นอนนะครับ

แต่ว่าจะใช้ได้เมื่อไหร่ ณ วันนี้ที่เราถ่ายทำกันมกราคม 2024 ยังใช้ไม่ได้นะครับ

แต่ว่าเขาบอกแล้วว่ามีการเร่งกันเกิดขึ้นจากเมืองนอกว่าจะใช้ได้เร็วๆ นี้

ต้องรอดูว่าเรื่องนี้เก่งแค่ไหน

เพราะว่าเราเห็นคำสัญญาจากหลายแบรนด์ก่อนหน้านี้แล้วก็ผิดหวังกันก็มีนะครับ

ว่าแบบสัญญาว่าจะอัปเดตให้ลูกค้าใช้ได้เร็วๆ นี้สุดท้ายไม่ได้อัปเดตกันอะไรอย่างนี้ครับ

อันนี้อาจจะต้องรอดูกันต่อไป

ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง

เพราะว่ามันค่อนข้าง Early เหมือนกันนะครับ

แต่ซอฟต์แวร์มี Potential จริงๆ

คือมีความเก่งกาจจริงๆ แล้วก็มัน Interface น่าสนใจอย่างมาก

แล้วก็รู้สึกว่าทำหน้าจอได้เร็วแตะแล้ว Responsive ดี

แล้วก็เข้าใจได้ง่ายนะครับ

คือถึงแม้ว่าทุกอย่างอยู่ในหน้าจอก็จะจริง

แต่ว่าเข้าใจง่ายจริงนะครับ

กล้องต่างๆ ระบบช่วยจอดช่วยถอยชัดเจน 100% ดูแล้วเข้าใจง่ายมากนะครับ

ที่สำคัญที่สุดคือรองรับภาษาไทย

เราเล่นเพลงไทยต่างๆ ชื่อเพลงทั้งบนหน้าจอกลาง

ทั้งบนหน้าจอฝั่ง Passenger ฝั่งผู้โดยสารที่เป็นหน้าจอแคบๆ นี้

ขึ้นชื่อภาษาไทยได้หมดถูกต้องนะครับ

อันนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี

เพราะว่าหลายๆ แบรนด์ที่ขายในไทยมานานๆ อ่านภาษาไทยไม่ออกเลยนะครับ

แต่ว่า Lotus เปิดมาตลาดในไทยแบบนี้กับ OS ใหม่ตัวนี้

แล้วก็อ่านภาษาไทยได้นี่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณดีนะครับ

เหลือรอแค่ว่าอัปเดตซอฟต์แวร์ตัวนี้ให้เราบ่อยแค่ไหนนะครับ

ตัวหลักๆ CarPlay Android Auto ต้องใช้ได้เร็วๆ นี้แล้วนะ

เพราะว่าถ้าเกิดทิ้งไว้เป็นแบบนี้ก็เป็น Issue ระดับหนึ่งนะครับ

ผมซื้อรถระดับนี้มาผมคงไม่เอาอะไรมาติดกระจก

แล้วก็เอาโทรศัพท์ไปแปะเพื่อที่จะเปิด Google Maps นำทาง

เราไม่ทำอย่างงั้นนะครับ

ก็ต้องเร่งกันนิดหนึ่งอันนี้ต้องฝากทาง Lotus Cars Thailand ด้วยนะครับ

อย่างอื่นผมว่า Complete มาก

เครื่องเสียงดีโคตรๆ นะครับ

เครื่องเสียง KEF 3D ที่อยู่ใน Lotus Eletre

เป็น Option มาตรฐานของ Eletre ตัวเริ่มต้น

คือ Option มาตรฐานสำหรับ Eletre S

แต่ถ้าเกิดเราเลือก Eletre R ตัวแพง

เราจะต้องเสียเงินเพิ่ม Option ประมาณ 200,000 นิดๆ นะครับ

เพื่อที่จะได้เครื่องเสียง KEF 3D

ผมบอกเลยว่านี่เป็น Option ที่ถ้าเกิดใครจะซื้ออ่ะ

ต้องเพิ่มเงินเอามานะครับ

เพราะว่าเครื่องเสียง KEF 3D ที่อยู่ในรถ Lotus Eletre

เป็นเครื่องเสียงที่ดีมากที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่เราเคยได้รับฟังมาในรถยนต์สักคันนะครับ

ผมกล้าพูดแบบนี้เลยนะครับ

ถ้าเกิดใครแบบอะไรจะดีขนาดนั้น

ไปลองฟังด้วยตัวเองได้นะครับ

นัดแนะกับทาง Lotus Cars Thailand นะครับ

มีโชว์รูมอยู่ที่ Emsphere ด้วยที่เพิ่งเปิดใหม่นะครับ

แล้วก็มีตัวศูนย์บริการเองอยู่ที่หัวหมากนะครับ

นัดแนะเข้าไปได้

ขอแค่ได้มีโอกาสได้ฟังชุดเครื่องเสียงของเขาแล้วจะรู้สึกทำได้ขนาดนี้เลย

อันนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ Lotus ทำได้ดีมากในรอบนี้ครับ

และนี่ก็คือ Lotus Eletre R นะครับ

ตัวท็อปสุดที่วางขายกันในเมืองไทยตอนนี้นะครับ

6,590,000 บาทกับ 905 แรงม้าครับ

0-100 ไม่ถึง 3 วินาทีนะครับ

แต่ว่าเป็นรถที่มีความสบายอย่างมาก

แทบจะหาความเป็นรถสปอร์ตในนี้ไม่ได้เลย

ก็คือมันไม่ได้สูญเสียความสบายหรือความอเนกประสงค์ไปเลย

คือมันไม่ได้มีความลำบากเหมือนรถสปอร์ตที่แบบว่าถ้าจะได้แรงขนาดนี้

พื้นที่ต้องแบบเหลือน้อยมาก

จะต้องปีนขึ้นลงจะต้องคลานขึ้นลงรถนะครับ

ไม่ใช่แบบนั้นเลย

แต่นี่คือ SUV ไซส์ใหญ่นะครับ

ที่ยังมีความอเนกประสงค์เต็มเหนี่ยวขนาดนี้นะครับ

แต่แฝงเอาพละกำลังที่ไม่น่าเชื่อเอาไว้นะครับ

ผมกดคันเร่งที

มันคือพละกำลังที่จะทำให้รถทุกคันบนถนนน่ะตกใจได้เลยอ่ะ

ว่านี่รถอะไรอ่ะที่แบบว่าแซงไปคันใหญ่ขนาดนี้

แต่ว่าดีดตัวออกไปเหมือนกับรถคันนี้ไม่มีน้ำหนักเลยอ่ะ

คือมันโหดมากนะครับ

มันดีดลงไปได้เหมือนกับรถคันนี้แทบจะไม่ได้ถือน้ำหนักเกือบๆ 3 ตันไว้เลยนะครับ

ก็โหดจริงนะครับ

ความรู้สึกแบบนี้ถ้าเกิดใครสนใจลองสัมผัส

ผมเชื่อว่าอาจจะเป็นความรู้สึกครั้งแรกในชีวิตเลยนะ

ที่ได้สัมผัสรถอะไรแบบนี้มาก่อนนะครับ

คือแบบไซส์ใหญ่แบบนี้

แต่ว่าทรงพลังอย่างมากนะครับ

นัดแนะกับทาง Lotus Cars Thailand นะครับ

เพื่อทดลองขับได้นะครับ

แล้วก็ลองไปปรับแต่ง Option กันดูได้นะครับ

ราคาเริ่มต้นของ Eletre S 5,890,000 บาท

แล้วก็ Eletre R ตัวแรง 6,590,000 บาทนะครับ

ยังไม่รวม Option ต่างๆ ที่เราจะเสริมเติมเข้ามานี้ก็แล้วแต่บุคคลนะครับ

ว่าอยากจะเสริมเติม Option อะไรเข้ามาบ้างนะครับ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทาง Lotus Cars Thailand ครับ

ผมอู๋ Spin9 ครับ

พบกันใหม่คลิปหน้า

สวัสดีครับ